นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งจากทางสโมสรลิเวอร์พูลอย่างเป็นทางการ ทาง OLSC Thaiand ยังไม่เคยจัด กิจกรรม Travel Club รวมพลลัดฟ้าไปชมการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศ ลีกคัพ ดังนั้น ต้องขอขอบคุณนักเตะ ทุกคน  รวมถึง เยอร์เก้น คล็อป ที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรคจนเข้าชิง ลีกคัพ ซึ่งปัจจุบันคือ Capital One Cup ได้สำเร็จ ทำให้ทาง Travel Club ของ OLSC Thailand มีโอกาสที่ไดัจัดกิจกรรมการเดินทางไปชม การแข่งขันนัดชิงขนะเลิศลีกคัพเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นการเดินทางเข้าไปชมการแข่งขันฟุตบอลใน เว็มบลี่ย์ ของหลายๆ ท่านที่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยกันในทริปนี้

บรรยากาศรอบสนาม เว็มบลี่ย์ เริ่มคึกคักตั้งแต่ก่อนเที่ยงวัน สาวกของทั้งสองทีมหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสายบน Olympic Way ซึ่งเป็นถนนที่นำพาไปสูู่่เว็มบลี่ย์ รอบๆ ทางเดินตามเสาก็จะมีการประดับด้วยรูปภาพหรือสัญลักษณ์ของทั้ง 2 ทีม ส่วนอาคารจอดรถของสนามก็ถูกประดับ ด้วยโปสเตอร์ขนาดยักษ์ของผู้จัดการทีมทั้ง 2 คนด้วย ซึ่งพวกเราก็มีโอกาสได้ร่วมซึมซับกับบรรยากาศนอกสนาม พอสมควร ก่อนที่จะเข้าไปในสนาม โดยเมื่อเข้าไปในสนามแล้วพวกเราได้มีโอกาสในการชักภาพกันเป็นที่ระลึกในหลายๆ ส่วนของสนาม จากนั้น ก็ได้เวลาชมพิธีเปิดการแข่งขันจากบริเวณที่นั่งซึ่งถือว่าค่อนข้างดีเพราะว่าอยู่บริเวณเส้นกลางสนาม

เดอะเร้ดแม้ชชีน ออกสตาร์ทเกมได้ค่อนข้างดี และ เพียงแค่ 30 วินาทีแรก คาบอเลโร่ ก็ต้องออกแรงเซฟ ลูกยิง ของ โมเรโน่ ซะแล้ว ซึ่งการทักทาย เรือใบสีฟ้า ตั้งแต่ออกสตาร์ทเกมนี้ ก็มีส่วนที่ทำให้รูปเกมของ เดอะเร้ดแม้ชชีน ดีกว่าในช่วงแรก แต่แล้วสิ่ง ที่น่าเป็นกังวลเป็นอย่างแรกก็เกิดขึ้น เมือ่ มามาดู ซาโก้ ปะทะกันเองอย่างจังกับ เอ็มเร่ ชาน ซึ่งตอนแรกดูเหมือนจะไม่เป็นไร แต่หลังจากปฐมพยาบาลได้ไม่นาน ก็ปรากฏว่า ซาโก้ ยังคงมีอาการมึนอยู่ จึงถูก เปลี่ยนตัวออกแบบขัดใจโก๋

การที่ โคโล่ ตูเร่ ลงสนามมาแทน ไม่ได้ทำให้เกมรับ เดอะเร้ดแม้ชชีน ด้อยลงแต่อย่างใด แถมยังเกือบจะทำประตูได้ตั้งแต่จังหวะแรกที่โดนลูก นอกจากนี้การได้ลงสนามของ โคโล่ ยังทำให้้เขากับ ญาญ่า กลายเป็นพี่น้องคู่แรกที่ได้ดวลแข้งกันในนัดชิงฯ ลีกคัพ หากทว่า เกมรุกที่เปรี้ยงปร้างของ ลิเวอร์พูลกลับหายไปในช่วงนี้ ทำให้ เรือใบสีฟ้า มีโอกาสครองบอลมากขึ้น และ สร้างโอกาสในการทำประตูได้มากขึ้น แต่ก็ได้แต่เฉียดฉิว หรือ ถูกป้องกันเอาไวได้ โดย ซิมง มิโยเล่ต์ และแล้วก็ไม่มีใครทำประตูได้เมื่อจบครึ่งแรก

ครึ่งหลังเริ่มต้นไม่เหมือนครึ่งแรก ต่างฝายต่างหาจังหวะในการครอบครองบอลและทำเกมรุก แต่จากจังหวะที่บอลถูกงัดลอยโด่งมาจากกลางสนามที่ดูเหมือนไม่มีอะไรแต่มาเข้าทาง กุน อาร์กูเอโร่ ทำให้โมเรโน่ ต้องขยับเข้ามาด้านในหน้ากรอบเขตโทษเพื่อประกบกุน อาร์กูเอโร่ ทำให้เขาสามารถผ่านบอล เข้าไปในเขตโทษ เฟอร์นันดิญโญ่ ที่วิ่งสปีดมาทางกราบขวาโดยที่ไม่มีใครตามมาประกบ และ เขาก็ตัดสินใจยิงในเสี้ยววินาทีเดียวกันกับจังหวะที่ จอร์แดน เฮ็นเดอร์สั้น โฉบบังสายตา มิโญเล่ต์ ทำให้ลูกนั้นสามารถพุ่งลอดตัวผู้รักษาประตูชาวเบลเยี่ยมไปได้

 หลังจากถูกนำ ก็ทำให้ การเน้นเกมแบบรัดกุมของ เดอะเร้ดแม้ชชีน ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นเน้นเกมการรุกมากขึ้นและ เรือใบสีฟ้า เองก็หันมาเน้นเกมรับ และ สวนกลับเร็ว แต่ก็พลาดท่าในการทำประตู ในขณะที่ลูกทีมของ เยอร์เก้น คล็อป์ ก็ยังไม่สามารถที่จะเจาะตาข่ายตีเสมอได้ เดอะนอร์มอลวัน เลยตัดสินใจเปลี่ยน ฟอร์เมชั่น โดยเอา ลาลาน่า ลงไปแทน โมเรโน่ และ เปลี่ยนไปเล่น เซ้นเตอร์แบ๊ค 3 คน จากนั้นก็เปลี่ยน โอริกิ แทน เฟอรืมิโน่

การเปลี่ยนตัวของ คล็อปป์ ได้ผลในนาทีที่ 83 เมื่อ ลาลาน่า ยิงชนเสา แล้วบอลกระดอนไปเข้าทางคูทิญโญ่ ที่ตะบันบอลเข้าประตูไปท่ามกลางเสียงเฮของเดอะค็อป ซึ่งรวมถึงพวกเราทุกคน มันเป็นความสุขและความตื้นตันใจ ที่ทุกคนพร้อมใจกันสู้ และ ไม่ยอมแพ้ และ ตีเสมอได้สำเร็จ

การที่ต้องใช้โควต้าเปลี่ยนตัวในครึ่งแรก ในที่สุดก็ส่งผลต่อผลการแข่งขัน เพราะถ้าหาก เดอะนอร์มอลวันไม่ต้องใช้โควต้าในการเปลี่ยน ซาโก้ เขาก็อาจจะใช้โควต้าที่เหลือนี้ในช่วงต่อเวลา โดยอาจจะเปลี่ยน เบ็นเทเก้ ลงมาเพื่อยิงลูกโทษตัดสินก็เป็นได้ ซึ่งผลการตัดสินแมตช์นี้ก็อาจจะแตกต่างไปจากเดิมก็เป็นได้

ถึงแม้ถ้วยใบนี้จะไม่ได้กลับไปที่แอนฟีลด์ แต่พวกเราทุกคนก็ภูมิใจที่นักเตะทุกคนต่างทุ่มเทอย่างเต็มที่และสู้จนหยดสุดท้าย นอกจากนี้ พวกเรายังภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่ได้ไปร่วมส่งแรงเชียร์ แถมยังมี โอกาสที่ได้ไปนั่งสัมผัสกับเก้าอี้ของทีม พร้อมกับถ่ายรูปบริเวณหน้าห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวของทีมภายในสนามเว็มบลี่ย์ ซึ่งพวกเราทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า รอบชิงชนะเลิศ ที่เว็มบลีย์ ครั้งหน้าไม่ว่าจะเป็นถ้วยไหน เราจะมาด้วยกันอีก! นี่สิถึงจะเรียกว่า You’ll Never Walk Alone!

สำหรับท่านใดที่สนใจสามารถขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ contact@lfcthailand.com